ทัวร์ย้อนรำลึกที่จะพาไปเยือนกินซังอออนเซ็นซึ่งเป็นทำเลถ่ายเรื่อง "โอชิน"

เวลาที่จำเป็น
1 คืน 2 วัน
วิธีเดินทางหลัก
รถยนต์

ทริปตระเวนเที่ยวสถานที่ที่มีกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นโดยเน้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องและทำเลถ่ายทำนวนิยาย "โอชิน" ที่ทำเป็นละครทีวี

เริ่มต้น
วันที่ 1
30 นาที

วัดยะมะเดะระ (วัดโฮจุซังริชชะคุจิ)

วัดโบราณท่ามกลางท้องฟ้าเปิดโล่งซึ่งประพันธ์ออกมาเป็นกลอนชื่อดังโดยนักกวีผู้เลื่องชื่อ

"วัดโฮจุซังริชชะคุจิ" รู้จักกันในชื่อ "วัดยะมะเดะระ" ภูเขาที่เกิดมาจากหินรูปร่างพิสดารแห่งนี้เป็นสถานปฏิบัติธรรมและสถานที่สำหรับสักการะบูชา เส้นทางปีนเขาจากปากทางขึ้นมาถึงไดบุตสึเด็นในโอะคุโนะอินจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง และระหว่างทางคุณจะได้เห็นทิวทัศน์ตระการตาตลอดทาง นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้จักจากบทกลอนในบันทึกการเดินทาง "โอะคุโนะโฮะโสะมิจิ" ของนักกวีชื่อดังนามว่ามัตสึโอะ บะโช และท่อนที่รู้จักกันดีคือ "ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงจิ้งหรีดร้องดังระงม แทรกซึมลึกหินผา" 
การขึ้นบันไดหินทอดยาวถึง 1,015 ขั้นและมุ่งหน้าสู่โอะคุโนะอินเป็นเส้นทางสักการะพื้นฐาน เป็นบันไดหินสำหรับปฏิบัติธรรมเพราะกล่าวกันว่าการขึ้นบันไดหินนี้จะช่วยตัดกิเลสได้ ถึงบอกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม แต่ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยจุดน่าสนใจมากมายที่มีร่องรอยประวัติศาสตร์อย่างแผ่นศิลาจารึกและจุดที่มีวิวสวยงามตระการตา คุณจึงสามารถที่จะขึ้นบันไดพลางเพลิดเพลินทั้งในด้านสติปัญญาและด้านความรู้สึกได้
อันดับแรกให้มุ่งหน้าไป “คนโปชูโด” ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากปากทางขึ้นเขา กล่าวกันว่าเป็นสถาปัตยกรรมไม้บีชเก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นและได้รับการกำหนดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น “มิดาโฮระ” เป็นพาวเวอร์สปอตที่จะทำให้คนมีความสุขหากพบพระพุทธรูปบนกำแพงหินซึ่งถูกกัดเซาะโดยลมฝน พอผ่าน “นิโอมง (ประตูเทวาพิทักษ์)” ที่มีรูปหล่อนักรบ 2 องค์กำลังเฝ้าจับตาดูเพื่อไม่ให้ผู้มีจิตใจชั่วร้ายผ่านแล้วก็จะพบกับ “ไคซังโด โนเคียวโด” โนเคียวโดสีแดงที่ตั้งตระหง่านอยู่บนหินหน้าตาประหลาดก้อนยักษ์โดยมีภูเขายิ่งใหญ่อลังการเป็นฉากหลังนั้นเป็นวิวอันโดดเด่นของวัดยะมะเดะระ “โกไดโด” ที่มองเห็นทิวทัศน์ไร่สวนมาจากด้านในอุโบสถอันคล้ายคลึงกับเวทีการแสดงละครโนก็เป็นจุดชมวิวเพียงแห่งเดียวของวัดยะมะเดะระ กล่าวกันว่า “โอะคุโนะอิน ไดบุตสึเด็น” ที่อยู่ปลายทางจะช่วยตัดโชคชะตาชั่วร้ายได้
อย่าลืมมาเพลิดเพลินกับอาหารขึ้นชื่อด้วย เช่น “ยะมะเดะระชิคาระคอนเนียคุ (หัวบุก)” “ซอฟต์ครีมเชอร์รี” และ “ดาชิโซบะ”
35 นาที

นิคุโซบะเย็น อาหารขึ้นชื่อของคาโฮกุ

ถึงจะบอกว่าเป็นนิคุโซบะ (โซบะไก่) แต่นิคุโซบะเย็นที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของคาโฮกุนี้มีรสชาติไม่เหมือนกัน โซบะก็ยังเป็นโซบะอินากะที่มีรสสัมผัสเคี้ยวหนึบ จุดเด่นพิเศษอยู่ตรงซอสเย็นที่ให้รสหวานเค็มซึ่งได้จากน้ำสต๊อกไก่และชาชูไก่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ให้สัมผัสสู้ฟัน
10 นาที

Benihana Musuem

45 นาที

พักที่ กิงซันออนเซ็น 1 คืน

เมืองออนเซ็นที่มีสถาปัตยกรรมไม้ย้อนยุคชวนให้หวนนึกถึงอดีตและสวยเหมาะแก่การถ่ายภาพ!

กิงซันออนเซ็นมาพร้อมกับทิวทัศน์สไตล์ย้อนยุคเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เมืองออนเซ็นแห่งนี้มีเรียวกังไม้ตั้งเรียงรายอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำกิงซัน โคมไฟแก๊สที่จุดหลังพระอาทิตย์ตกจะช่วยสร้างบรรยากาศแบบญี่ปุ่นย้อนยุค ประหนึ่งฉากในภาพยนตร์เรื่อง “มิติวิญญาณมหัศจรรย์ (Spirited Away)” ทั้งยังเป็นทำเลถ่ายทำละครประจำชาติอย่างเรื่อง “โอชิน” อีกด้วย หิมะยามราตรีเหมาะแก่การถ่ายภาพมากที่สุด เพราะแสงไฟด้านนอกจะช่วยขับตัวเมืองที่แต่งแต้มด้วยหิมะให้สวยเด่นยิ่งขึ้น
การเดินชมเมืองในช่วงกลางวันก็มีจุดน่าชมอยู่มากมาย บนกำแพงของเรียวกังที่เรียงรายอยู่นั้นมีภาพโคเทเอะ (งานแกะสลักปูนขาว) สีสันสดใสวาดเอาไว้และในยางมะตอยก็มีกระเบื้องลายเกล็ดหิมะฝังเอาไว้ด้วย “ออนเซ็นแช่เท้าวาราชิยุ” ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำกิงซันและมีน้ำพุร้อนที่ใช้ต้นน้ำโดยไม่มีการผสมอะไรให้แช่ จึงทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษในแบบเฉพาะของเมืองออนเซ็น และคาเฟ่ จุดเดินทาน และร้านจำหน่ายสินค้าของฝากก็มีครบครันอยู่ในระยะเดิน จึงเป็นเมืองออนเซ็นที่เดินเล่นได้อย่างสนุกสนาน ลองมาเช่าและสวมชุดในสมัยไทโชซึ่งเป็นช่วงหลังจากญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมชาติตะวันตกเข้ามา แล้วไปเดินเล่นชมบ้านเมืองที่สวยงามดุจดังภาพวาดกันดีกว่า
แม้จะเป็นสถานที่ลึกลับถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา แต่ก็อยู่ในทำเลดีโดยนั่งรถไฟยะมะกะตะชินคังเซ็นจากโตเกียวประมาณ 3 ชม. และนั่งรถบัสสายตรงอีก 40 นาที การเพลิดเพลินกับบ่อแช่น้ำกลางแจ้งชมวิวหิมะก็เป็นจุดน่าสนใจของกิงซันออนเซ็นซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีหิมะตกหนัก แนะนำว่าตอนกลางคืนให้ไปอบอุ่นร่างกายด้วยการแช่น้ำในเรียวกังและลิ้มรสอาหารขึ้นชื่ออย่าง “โอบานะซาวะโซบะ” ซึ่งทำจากเนื้อวัวลายหินอ่อนละเอียดแบรนด์ดังอย่างเนื้อวัวโอบานะซาวะและแป้งโซบะของท้องถิ่น
บริเวณโดยรอบยังมีจุดชมทิวทัศน์ธรรมชาติสวยๆ อย่างเช่น “หุบเขาเซ็นชิน” ที่มีความวิเศษตรงใบไม้สีเชียวชอุ่มกับใบไม้เปลี่ยนสีและ “น้ำตกชิโรงาเนะโนะทาคิ” ซึ่งเป็นน้ำตกแนวดิ่งที่มีความสูง 22 เมตรอีกด้วย
วันที่ 2
1 ชั่วโมง

Mogami River Basyo Line Descent

Go down the magnificent Mogami River while listening to the barcarolle of the boatman and the famous stories.

Let yourself be in the flow of the Mogami River and enjoy the scenery from the boat. You can enjoy the slow boat descent while listening to the boatman's song in the magnificent nature at any time of the four seasons. In winter, there is also a "Kotatsu boat" service. (December to the end of March)
45 นาที

ทานอาหารกลางวันที่ Sakata Seafood Market

5 นาที

Somaro

5 นาที

สวนฮิโยริยามะ

เรือใบสีขาวกับประภาคารสีขาวโพลนที่จะบอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองท่าซาคาตะ

สวนอันมีประวัติศาสตร์ที่จะให้คุณสัมผัสกลิ่นอายของเมืองท่า แถมยังเป็นจุดชมซากุระชื่อดังและเป็นที่ยอมรับในเรื่องความงามของตะวันที่ตกลงสู่ทะเลญี่ปุ่นด้วย
ประภาคารไม้หกเหลี่ยมสไตล์ตะวันตกสีขาวโพลนนั้นเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของสวนฮิโยริยามะ เป็นประภาคารไม้โบราณเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น กล่าวกันว่ากลุ่มคนเรือกับพ่อค้าเรือบรรทุกสินค้าที่เข้าออกท่าเรือซาคาตะได้ตั้งประภาคารขึ้นมาเพื่อขอพรให้เดินเรือข้ามมหาสมุทรได้อย่างปลอดภัยเมื่อปี 1813
สัญลักษณ์อีก 1 อย่างคือเรือคิตะมาเอะบุเนะที่มีผ้าใบสีขาวสวย สามารถชมเรือจำลองขนาด 1/2 ของเรือคิตะมาเอะบุเนะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นได้ เรียกเรือคิตะมาเอะบุเนะอีกอย่างว่า “เรือเซ็นโกคุบุเนะ” ที่มาจากความหมายว่า “มีขนาดใหญ่พอจะขนข้าวได้ 1 พันโกคุ (150 ตัน)” เรือคิตะมาเอะบุเนะลำใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สามารถขนได้ 2,400 โคคุ (360 ตัน) และแล่นเรือด้วยผ้าใบผืนมหึมา 1 ผืน รวมถึงเป็นเรือที่ใช้แรงลมแล่นได้อย่างดีเลิศ
เรือคิตะมาเอะบุเนะไม่ได้ขนย้ายสินค้าแต่เพียงเท่านั้น หากท่าเรือที่ไปแวะมีสินค้าดีๆ ราคาย่อมเยาก็จะซื้อและหากจำหน่ายสินค้าในเรือได้ในราคาสูงก็จะจำหน่ายตรงนั้น จึงเป็นเรือที่เหมือนบริษัทการค้าครบวงจรที่เดินทางข้ามมหาสมุทรระหว่างทำการ “ค้าขาย” ไปด้วย กล่าวกันว่าเรือคิตะมาเอะบุเนะไปกลับโอซาก้ากับฮอกไกโดหนึ่งรอบจะได้กำไรหนึ่งพันเรียว (เทียบเป็นมูลค่าในปัจจุบันจะประมาณ 60 ล้าน - 100 ล้านเยน) การนึกถึงเหล่าคนเรือที่มีความฝันอยากจะได้เงินก้อนโตมาอย่างง่ายดายในหนึ่งครั้งอยู่ตรงหน้าเรือใบสีขาวก็สนุกไปอีกแบบ
นอกจากนี้ภายในสวนยังมีเส้นทางเดินเล่น รวมถึงศิลาจารึก 29 แห่งที่แนะนำเหล่านักประพันธ์และศิลปินผู้มาเยือนซาคาตะ ตรงนี้เป็นเส้นทางเดินเล่นที่จะบอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองท่าซาคาตะ
5 นาที

โกดังซังเคียวโซโกะ

ถนนต้นเซลโควาญี่ปุ่นกับรั้วไม้สีดำอันน่าประทับใจ โกดังเก็บข้าวอันสวยงามที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

โกดังซังเคียวโซโกะสร้างขึ้นในปี 1893 และปัจจุบันยังใช้เป็นโกดังเก็บข้าวอยู่ หลังคาเป็นสองชั้นเพื่อใช้แทนวัสดุกันความร้อน ส่วนด้านหลังโกดังมีการปลูกต้นเซลโควาญี่ปุ่นเพื่อบังแดดจากทิศตะวันตกและบังลมแรง จนทำให้ต้องรู้สึกชื่นชมสติปัญญาของบรรพบุรุษที่ใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ แม้ในปัจจุบันจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างตู้เย็นขึ้นมาแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังคงใช้วิธีกับระบบแบบสมัยก่อนในการเก็บรักษาข้าวจากความชื้นและความร้อน
ภายในบริเวณจะเห็นโกดังตั้งเรียงรายไปจนสุดทางและให้บรรยากาศแบบย้อนยุค ปัจจุบันก็ยังคงเหลือบรรยากาศท่าเรือค้าข้าวที่เคยคึกคักในสมัยก่อน บริเวณนี้กลายเป็นจุดถ่ายภาพชั้นยอดและใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ด้วย เช่น ละครช่วงเช้าของ NHK เรื่อง “โอชิน”
ฝั่งด้านหน้าของโกดังอยู่เลียบแม่น้ำและมีทิวทัศน์น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเงาของโกดังที่พาดผ่านกำแพงสีขาวที่มีหลังคาสามมุมกับผิวน้ำ ท่าเทียบเรือที่หันหน้าไปทางแม่น้ำโมะกะมิ หรือเรือขนข้าว เป็นต้น ฝั่งด้านหลังของโกดังเป็นถนนต้นเซลโควาญี่ปุ่นทอดยาวและเป็นจุดถ่ายภาพสวยเมื่อประกอบกับรั้วไม้สีดำและทางเดินหิน ทัศนียภาพจะแปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลและช่วงเวลา เช่น ต้นเซลโควาญี่ปุ่นสีเขียวชอุ่ม หลังคาสามมุมที่ปกคลุมด้วยหิมะ ยามเย็นที่ทอประกายแสงหรือทางเดินหินที่ชุ่มน้ำฝน
ตั้งรวมกับอาคารจำหน่ายสินค้าของฝาก “ซาคาตะยุเมะโนะคลับ” และวางจำหน่ายสินค้าขึ้นชื่อของท้องถิ่น อย่าลืมมาซื้อข้าวกับสุราอร่อยๆ กลับไปเป็นของฝากกัน ทั้งยังมีร้านอาหารที่จะให้คุณได้ทานอาหารซึ่งใส่อาหารทะเลกับผลผลิตทางการเกษตรแบบจุใจและระเบียงเปิดโล่งรับลมเย็นอีกด้วย
10 นาที
จุดหมายปลายทาง
to top