บทเรียนจากภูเขา

ความเชื่อเรื่องของการเกิดใหม่ของภูเขาแห่งนี้ เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเดินทางมาญี่ปุ่น นี่อาจไม่ใช่การพักผ่อนในอุดมคติของใครหลายๆคน แต่หากลองคิดดี ๆ แล้ว การออกเดินทางทุกครั้งก็เปรียบเสมือนการเกิดใหม่ เพราะเมื่อทุกครั้งที่ออกเดินทาง เราจะก้าวออกจากวิถีชีวิตประจำวันของเรา แล้วก็จะต้องกลับมาเจอะเจอกับมันอีกครั้งอยู่ดี การได้ก้าวออกจากความเป็นจริงในชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญมาก เพราะมันทำให้ผมสามารถนึกถึงงาน เพื่อน ๆ และครอบครัวได้ด้วยมุมมองใหม่ ๆ และยังทำให้ผมตระหนักได้ว่า ตอนนี้ผมเดินทางมาถึงจุดไหนแล้วในเส้นทางชีวิตที่ยิ่งใหญ่ขึ้น


นี่คือเหตุผลที่ผมชอบมาเที่ยวญี่ปุ่น ที่นี่มีที่พักที่แสนสะดวกสบายราวกับบ้าน และเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ในโลกที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยมากสุด ๆ และยิ่งไปกว่านั้นญี่ปุ่นมีกิจกรรมฝึกจิตใจมากมาย ซึ่งช่วยเติมเต็มความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นให้กับชีวิต เช่น การทำสมาธิแบบเซน, ละครโน และการยิงธนูแบบดั้งเดิม นี่คือสิ่งที่ผมได้สัมผัสจากการมาเยือนยามากาตะครั้งล่าสุด


ผมได้ยินเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวกับร้านอาหารฟิวชั่นญี่ปุ่น-อิตาเลียนแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Al checciano ที่นี่ใช้พืชผักที่ปลูกในท้องถิ่นเนื้อสัตว์ป่าจากภูเขา และอาหารทะเลจากทะเลญี่ปุ่น มาปรุงเป็นอาหารเลิศรส พร้อมกับเสิร์ฟไวน์ท้องถิ่นคุณภาพดีด้วย ผมจองร้านนี้หลังจากที่เสร็จภารกิจที่ภูเขาเดวา ซันซาน



ผมได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับภูเขาชามาน โดยมีฟูมิฮิโระ โฮชิโนะ เป็นผู้ก่อตั้งที่พำนักของนักแสวงบุญที่เชิงเขาฮากูรู เขาเป็นอาจารย์ชูเกนโดรุ่นที่ 15 ผู้มีบทบาทสำคัญ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เจอเขาในพิธีบูชาภูเขาโบราณที่เรียกว่า ชูเกนโด เป็นการผสมผสานกันระหว่างศาสนาพุทธชินโต และลัทธิเต๋า เช่นเดียวกับกับความเชื่อในเรื่องภูตผีไสยศาสตร์ และโฮชิโนะก็ได้เปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ เข้าไปสัมผัสพิธีกรรมการเกิดใหม่ในประเพณีการบูชาภูเขาชูเกนโดแห่งนี้



เขาเป็นคนที่อธิบายได้เก่งมาก ผมไม่จำเป็นต้องพูดภาษาญี่ปุ่นหรือรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธมากมายก็สามารถเข้าใจได้ เขาสอนได้สอนในสิ่งที่หาเรียนรู้ได้ยาก นั่นก็คือการสัมผัสร่างกาย ฝึกจิตใจ และจิตวิญญาณท่ามกลางวัฒนธรรมและบรรยากาศอันงดงาม


อาจารย์โฮชิโนะยังเปิดสอนคอร์สต่าง ๆ อีกมากมายในช่วงฤดูร้อนที่หิมะบนภูเขาละลายไปหมดแล้ว ผมเลือกคอร์ส วันเต็ม ที่มีการเดินเขาทั้งระยะสั้นและไกลการนั่งสมาธิแบบเซนการสวดมนต์ที่น้ำตก และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ผมจะไม่ขอพูดถึงเพื่อเก็บส่วนที่ดีที่สุดเอาไว้เซอร์ไพร์ส



เมื่อผมเดินทางมาถึงที่พำนักของนักแสวงบุญของอาจารย์โยชิโนะ ผมได้รับเสื้อผ้า ซึ่งประกอบไปด้วย เสื้อคลุมยามาบูชิสีขาวกางเกงแบบหลวม ๆ ความยาวเท่าเข่า และรองเท้าหุ้มข้อ โดยสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว สีขาวเป็นสีแห่งความตาย เมื่อผมใส่ชุดนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าสามารถลืมความวิตกกังวลในชีวิตแต่ละวันไปได้ ชุดนี้สวมใส่สบายมาก ผมสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีจนรู้สึกผิดปกติเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะตอนทำกิจกรรมในวันที่ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย มีการกระโดดข้ามกองไฟก่อนที่จะกลับมาสู่โลกแห่งวัตถุนิยมอีกครั้ง


การปีนเขากับอาจารย์โฮชิโนะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าไปอยู่ในภาพยนตร์เรื่องพ่อมดมหัศจรรย์แห่งเมืองออซเลยก็ว่าได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในแคนซัสอีกต่อไป! ผมไม่เคยรู้สึกห่างบ้านขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร เพราะผมเชื่อว่านี่เป็นการทดสอบทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น การเดินข้ามเขาเดวาทั้งสามลูก ที่ทำให้ได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากการเดินป่าท่ามกลางแสงจันทร์ในยามค่ำคืน และการยืนใต้ต้นซีดาร์ฟังเสียงนกที่อยู่ไกลออกไปขับขานเสียงร้องอยู่ในสายลม สิ่งเหล่านี้ทำให้สิ่งที่ทำมาทั้งหมดมีความหมายมากยิ่งขึ้น



อาจารย์โฮชิโนะไม่ได้พูดอะไรมากเท่าไหร่ตลอดช่วงเวลา วัน เป็นการผ่อนคลายจิตใจและไม่ต้องรับรู้ข้อมูลอะไรมาก เขาสอนการเดิน พาไปสวดมนต์ และสอนเดินในน้ำตก สิ่งเหล่านี้ทำให้อาจารย์โฮชิโนะเป็นผู้มีญาณอย่างแท้จริง เขาเชื่อว่าอาจารย์ที่ดีที่สุดของมนุษย์คือธรรมชาติ แค่ปล่อยให้ตัวเราเองปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ เช่น การเดินการหายใจการสวดมนต์ และการกระตุ้นระบบประสาทให้สดชื่นที่ใต้น้ำตกเย็น ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายและจิตใจของเราเอง หน้าที่ของฉันคือเชื่อมมนุษย์เข้ากับธรรมชาติ” อาจารย์โฮชิโนะบอกกับผมในตอนท้าย


แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย อย่างบางเหตุการณ์ เช่น มีเสียงเป่าแตรสังข์ดังขึ้นในตอนที่เรากำลังจะเข้านอน และบอกให้เราลุกขึ้นมาแต่งตัวให้พร้อมสำหรับการไปเดินป่า ตอนที่ผมได้ยินนี่ ใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเลย ผมเหนื่อยมากและอยากนอนสุด ๆ แต่เราถูกสอนมาว่า แค่ตะโกนออกไปว่า ยูเคโมโตะ! พร้อมปลดปล่อยความเครียดที่อยู่ภายในออกไป ก็ทำให้ผมสามารถลุกออกไปสนุกสนานกับการเดินป่าในค่ำคืนนั้นได้ 



คำว่า ยูเคโมโตะ เป็นคำที่มีพลังมากสำหรับผมในช่วงเข้าคอร์สยามาบูชิ มันมีความหมายว่า ฉันยอมรับด้วยใจที่เปิดกว้าง” เพียงแค่พูดคำนี้ก็ทำให้ผมสามารถผ่านเวลาที่ยากลำบากมาได้ โดยเฉพาะตอนที่ผมต้องจัดการกับความคิดและความรู้สึกแย่ๆ ผมได้เรียนรู้ว่าการไม่หงุดหงิดกับชีวิต จะทำให้ชีวิตเราเป็นอิสระอย่างมาก ทำให้สามารถไหลไปได้กับทุกสถานการณ์ กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้น


ผมเคยเล่นโยคะหรือฝึกการทำสมาธิมาก่อนหลายคอร์ส แต่หากลองนึกย้อนกลับไปถึงคอร์สยามาบูชิที่ผ่านมากับอาจารย์โฮชิโนะ ผมสามารถพูดได้เลยว่านั่นเป็นหนึ่งในการเดินทางแห่งการเปลี่ยนแปลงอันหนึ่งที่ผมเคยได้สัมผัสในช่วงเวลาสั้นๆ ผมรู้สึกว่ามีสุขภาพที่ดีขึ้นแข็งแรงมีวามสุข และรู้สึกฉลาดขึ้นนิดหน่อยด้วย เหมือนเกิดใหม่เลยล่ะ


เอเวอร์เรทท์ เคนเนดี้ บราวน์ 

เป็นศิลปินและนักเขียนชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเกียวโต 

to top